บทบาทของ Marketing ในยุค Algo Trade

Fintech (Thailand) > Algo Trading Forum  > บทบาทของ Marketing ในยุค Algo Trade

บทบาทของ Marketing ในยุค Algo Trade

Marketing ในภาษาของการลงทุนก็คือ “ผู้แนะนำการลงทุน” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “มาร์” บทบาทของ Marketing ที่สำคัญ ที่ทั้งในและนอกวงการรู้กันเป็นอย่างดีก็คือการเฝ้าหน้าจอ เพื่อดูราคาขึ้นลงของหุ้นให้กับลูกค้า อัพเดทข่าวและบทวิเคราะห์ให้ลูกค้าทุกวัน บางครั้ง Marketing ก็เป็นเหมือนเพื่อนหรือที่ปรึกษา สำหรับลูกค้า โดยเฉพาะเวลาที่ตลาดซบเซา เพราะฉะนั้นสำหรับ Marketing ที่ต้องการพัฒนาตัวเองมากๆ หรือต้องการลูกค้าเพิ่ม สิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องมีก็คือ ความขยัน ในการอ่านหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับแต่ละวัน อัพเดทข่าวจากหน้าเว็บไซต์ทางการต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์และ กลต. รวมถึงการดูภาพรวมตลาดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อนำไปใช้ในการแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้า และส่งต่อข่าวสำคัญๆ นี้ให้กับลูกค้าในแต่ละวันเรียกได้ว่าทำตัวเหมือนเป็นเลขาของลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่าพวกเขาจะชนะเกมส์การลงทุนของพวกเขาได้

แต่เมื่อมาถึงในยุคปัจจุบัน การลงทุนในตลาดหุ้น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ซึ่งถูกเรียกในนาม Algo Trade หรือ Robot Trade หรือระบบเทรดอัตโนมัติ ที่ไม่จำเป็นต้องมีการเฝ้าหน้าจอ เพื่อดูความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เปลี่ยนวิธีการลงทุนจากการเลือกซื้อหุ้น เป็นการเลือกซื้อโมเดลการลงทุน หรือกลยุทธ์การลงทุนที่ลูกค้าต้องการแทน แล้ว Robot จะทำหน้าที่จัดการลงทุนที่เหมาะสมกับตลาดและเทคนิคที่ลูกค้าเลือกเอง  เทคโนโลยีนี้ทำให้ Marketing บางคนเกิดคำถามว่า แล้วแบบนี้ “มาร์อย่างฉันจะทำอะไรดี?!?”

ฉะนั้นเพื่อเตรียมต้อนรับการมาของยุค Algo Trading เหล่า Marketing มาดูกันเถอะว่า บทบาทที่มีการเปลี่ยนแปลงของ Marketing มีอะไรบ้าง

1.เปลี่ยนจากผู้แนะนำหุ้นรายตัว เป็นผู้แนะนำโมเดล

เนื่องจากการให้บริการ Algo Trading ที่ขายในปัจจุบัน ออกมาในรูปแบบของโมเดลที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของกลยุทธ์การลงทุน เพราะฉะนั้นบทบาทที่เปลี่ยนไปของ Marketing จึงเป็นเรื่องของการศึกษาและรอบรู้เกี่ยวกับกลุยทธ์ต่างๆ รวมถึง concept ของแต่ละโมเดล และคำศัพท์เทคนิคเฉพาะที่มักพบอยู่บ่อยครั้ง เมื่อลูกค้าต้องการอ่านค่าสถิติต่างๆ ของโมเดล เช่น MAX Drawdown, CAGR และอีกมากมาย ซึ่งถือเป็นข้อดีที่ Marketing จะได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องเทคนิคมากขึ้นนั่นเอง

2.เปลี่ยนจากผู้เฝ้าติดตามหุ้น เป็นผู้ให้คำปรึกษาและวางแผนด้านการเงินการลงทุน

จากที่กล่าวมาแล้วในข้อที่ 1 ว่า บริการ Algo Trading ที่ขายในปัจจุบันออกมาในรูปแบบของโมเดลที่จุดขายอยู่ที่กลยุทธ์ของแต่ละโมเดล ไม่ได้มีการขายหุ้นรายตัวแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น หน้าที่การเฝ้าหน้าจอของ Marketing จะหมดไป แต่สิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาและเป็นบทบาทใหม่ของ Marketing ก็คือการเป็นผู้ให้คำปรึกษารวมถึงช่วยวางแผนด้านการเงินให้กับลูกค้า แต่ด้วยข้อจำกัดของใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน ( Single License ) ที่ Marketing แต่ละคนมีนั้น สามารถทำได้ในส่วนของการแนะนำการลงทุน แต่ไม่สามารถเป็นผู้วางแผนการเงินการลงทุนให้ลูกค้าได้ เพราะฉะนั้นการสอบ เพื่อได้ซึ่ง License สำหรับการทำสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น  ปัจจุบัน License ที่สามารถใช้ในการวางแผนการลงทุนมี 2 ประเภท ได้แก่

IP License (Investment Planner) เป็นใบอนุญาตที่อนุญาตให้วางแผนการลงทุน โดยการกำหนดกลยุทธ์และแผนการปฏิบัติการลงทุน ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (การใช้ข้อมูลลูกค้าในเชิงลึก เกี่ยวกับสถานะทางการเงิน เป้าหมายการลงทุน และความเสี่ยง เพื่อออกแบบแผนการลงทุนให้กับลูกค้าเฉพาะราย) เพื่อให้ลูกค้าแต่ละรายได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมาย และตามวัตถุประสงค์

CFP (CERTIFIED FINANCIAL PLANNER, CFP) เป็นคุณวุฒิของผู้ประกอบวิชาชีพที่สามารถให้บริการวางแผนการเงินอย่างครบวงจรซึ่งประกอบด้วยแผนการลงทุน แผนการจัดการความเสี่ยงภัยและการประกันภัย แผนภาษีและมรดก และแผนเพื่อวัยเกษียณแก่ลูกค้า ที่ครอบคลุมทั้งการให้คำปรึกษาและจัดทำแผนการเงินในทุกๆ ด้านตามที่กล่าวมาภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละบุคคล

ข้อแตกต่างของใบอนุญาต 2 ใบนี้ก็คือ IP License จะเป็นใบอนุญาตที่จำกัดขอบเขตให้สามารถวางแผนเฉพาะด้านการลงทุนให้กับลูกค้าได้เพียงด้านเดียว โดยผ่านการทดสอบความรู้เพียง 2 ส่วนคือ พื้นฐานการวางแผนการเงินและการวางแผนการลงทุน (เพิ่มเติมจาก Single License เดิมที่ถืออยู่) แต่สำหรับ CFP นั้นจะเป็นใบอนุญาตที่สามารถให้บริการวางแผนการเงินแบบครบวงจร แต่ขั้นตอนการสอบจะมีความซับซ้อนกว่า เนื่องจากผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องผ่านการทดสอบจากข้อสอบถึง 4 ฉบับรวมถึงการจัดทำแผนการเงินแบบองค์รวมจากกรณีตัวอย่างจึงจะได้รับใบอนุญาตใบนี้

3.เปลี่ยนเวลาเฝ้าหุ้นเป็นเวลาของการขยายฐานลูกค้า

ต่อเนื่องจากการที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ อีกอย่างที่ Marketing จะมีเวลาทำมากขึ้นคือการขยายฐานลูกค้าของตัวเอง ซึ่งจริงๆ ข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด เพราะเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้ให้ Marketing เพราะปัจจุบันสถิติจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่าผู้ลงทุนในตลาดทุนของประเทศไทย (สถิติ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2559) มีเพียง 971,591 คน หรือประมาณ 1.3% จากจำนวนประชากรทั้งประเทศเกือบ 70 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนผู้ลงทุนที่มีน้อยมากๆ และนั่นก็หมายถึงว่า Marketing เองยังมีโอกาสอีกมากที่จะสามารถขยายฐานลูกค้าตัวเองให้รู้จักการลงทุนมากขึ้นได้

สุดท้ายนี้ ทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผมที่มองว่า ไม่มีอะไรมาทำให้เราก้าวเดินไม่ได้ หากตัวเราไม่หยุดเดินซะก่อน โลกยังคงหมุนอยู่ทุกวันฉันใด เราเองก็ต้องก้าวเดินต่อไปฉันนั้น ไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะทำให้เราไม่มีงานทำได้ เพราะมนุษย์ก็คือผู้สร้างเทคโนโลยีเหล่านี้ขึ้นมาเอง สวัสดีครับ 🙂